Tuesday, March 1, 2011

วิญญาณ เฮี้ยน

"ศศิพงศ์"เล่า ประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ

ป้าเพลินเป็นหญิงชราอายุ 70 เศษ อยู่บ้านใกล้ๆ กับดิฉันที่หน้า ม.เกษตร นี่เองค่ะ แกเป็นย่าเป็นยายคนเกือบทั้งซอยก็ว่าได้ แต่ป้าเพลินเป็นเพื่อนกับแม่ของดิฉันมาตั้งแต่รุ่นสาว ตอนนั้นดิฉันยังตัวกะเปี๊ยกจนเดี๋ยวนี้เกือบจะถึงหลักสี่อยู่รอมร่อแล้ว

ครอบครัวเราสนิทกันเหมือนญาติ นอกจากการไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็ยังมีการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน ใครทำอาหารดีๆ ก็ตักไว้ให้กันเป็นประจำ...ป้าเพลินชอบออกมาเดินเล่นในซอยแทบทุกเย็น บอกว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด

แต่คนเราก็หนีกฎธรรมชาติไม่พ้น ไม่ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย!

แม่ของดิฉันล่วงลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีมาแล้วด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ป้าเพลินเสียน้ำตาให้เห็นเป็นครั้งแรก ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานศพเต็มที่ บอกดิฉันว่า...คนรุ่นป้าพากันล่วงหน้าไปหมดแล้ว เหลือแต่ป้าคนเดียว ไม่รู้ว่าจะถึงเวลาเมื่อไหร่? แต่คงอีกไม่นานหรอก...

ตั้งแต่นั้นมา ป้าเพลินก็ดูอิดโรยอ่อนล้า เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา คิดๆ แล้วก็ใจหาย เมื่อนึกว่าชีวิตคนเรานับวันแต่จะโรยรา แก่ตัวก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ความเจ็บป่วยดาหน้าเข้ามาหา บั่นทอนสุขภาพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น...

ร่างเล็กๆ ของป้าเพลินออกมาเดินในซอยหน้าบ้านไม่ไหวอีกแล้ว นอกจากจะจับเจ่าอยู่ในบ้าน ในที่สุดก็ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง นัยน์ตาสีน้ำข้าวฉายแววเจ็บปวดร้าวรานเหมือนนักโทษในกรงขังของร่างกายตัว เอง!

ดิฉันใจหายทุกครั้งที่ไปเยี่ยมป้าเพลิน กุมมือเหี่ยวย่นและเย็นชืดนั้นไว้อย่างปลอบประโลม ไม่อยากพูดปดเพื่อปลอบใจว่าคุณป้าจะหายเร็วๆ นี้...รู้ดีว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน

"ป้าอยากจะออกไปเดินในซอย ขอแค่ไปยืนที่หน้าบ้านก็ยังดี!"

เสียงแหบเครือกับแววตาสิ้นหวัง น้ำใสๆ รื้นเต็มเบ้าตา บ่งบอกว่านั่นเป็นความวาดหวังที่สูงส่งเกินไปจนสวรรค์ไม่มีจะให้...กระทั่ง วันสุดท้ายมาถึง เมื่อป้าเพลินนอนหลับไปตลอดกาลนานในโลกมนุษย์...

คืนแรกที่สวดศพในวัดนั่นเอง ป้าเพลินก็กลับมา!

เพื่อนบ้านพากันไปฟังสวดอภิธรรมคับคั่ง รูปถ่ายของป้าเพลินสมัยสาวๆ ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าโลงศพสีทอง...คุณน้าผ่องศรีนั่งพนมมือฟังพระสวดเสียง เยือกเย็นอยู่ดีๆ ก็เอียงหน้าเข้ามากระซิบดิฉันว่า...ป้าเพลินยิ้มให้น้าด้วยละ

คนเราตาฝาดกันได้นะคะ โดยเฉพาะในแสงไฟท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ คุณน้าผ่องศรีก็ใกล้จะ 70 อยู่แล้ว...แต่ตอนขากลับที่เราลงจากรถตู้ของคุณลุงจำนงในซอย แยกย้ายกันเข้าบ้าน สามีภรรยารุ่นพี่คู่หนึ่งก็ร้องวี้ดว้ายมากระทบหูจนพวกเราวิ่งไปดู

หน้าตาซีดเซียว ปากคอสั่นทั้งคู่ ก่อนจะรวบรวมสติเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง

ปรากฏว่าเดินมาจะถึงบ้านอยู่แล้ว เห็นร่างเล็กๆ ผอมๆ ของหญิงชราที่คุ้นตาเดินนำหน้า ท่าทางลอยๆ ชอบกลเหมือนเท้าไม่แตะพื้น พอสะกิดกันดูก็พอดีหญิงชราผู้นั้นหันมามองยิ้มๆ...ป้าเพลินเองค่ะ!

"คงจะตาฝาดไปเองน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก..."

ดิฉันปลอบ...แต่ทันใดนั้นก็มีกลิ่นน้ำอบไทยอวลกรุ่นมาเข้าจมูก กลิ่นน้ำอบที่รดน้ำศพป้าเพลินเมื่อตอนเย็นนี้เอง! เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบกลับบ้านใครบ้านมันทันที

ยอมรับว่าดิฉันใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สับสนงุนงงอย่างบอกไม่ถูก...วิญญาณมีจริงหรือนี่? วิญญาณป้าเพลินเฮี้ยนถึงปานนี้เชียวหรือ?

วิญญาณที่ใฝ่ฝันก่อนตายอย่างรุนแรงที่จะได้ลุกจากเตียง เพื่อออกมาเดินเล่นในซอยอย่างที่เคยทำมาชั่วชีวิต...จนกระทั่งวิญญาณหลุดลอย ออกจากร่าง ได้รับอิสรเสรีตามเดิม!

ก้าวเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างเงียบเชียบ...กลิ่นน้ำอบไทยเย็นๆ ล่องลอยมาเข้าจมูกอีกแล้ว ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง จนสายตาประสบกับภาพถ่ายขนาดใหญ่บนหลังตู้หนังสือ...ภาพของป้าเพลินกำลังยิ้ม ระรื่นเคียงคู่กับแม่ดิฉันที่ชายหาดแห่งหนึ่ง

คุณพระช่วย! รอยยิ้มของป้าเพลินกว้างขวางขึ้นทุกที ดิฉันพร่ามึนจนเดินเข้าไปหาเหมือนถูกสะกด ก่อนจะหยุดเงยหน้ามองดูรอยยิ้มกับนัยน์ตาเศร้าๆ ของป้าเพลินที่มองตอบมา...น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเชื่องช้า

ดิฉันขนลุกซ่า กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ขอให้ไปสู่สุคติเถอะค่ะ ป้าเพลิน!

No comments:

Post a Comment